วันนี้ TonCedar จะพาทุกคนมารู้จักกับ Magpie Farm เกษตรกรรมบนดอยที่เริ่มต้นมาจาก คุณซาน – สุนทร มิ่งสิริเจริญ คนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นผ่านการสร้างระบบนิเวศน์ที่ยั่งยืนในสวนกาแฟและอะโวคาโดของตน
ครอบครัวเราเป็นชาวจีนยูนนาน ที่มาอาศัยอยู่ห้วยชมภู จ.เชียงราย สมัยก่อนผู้ใหญ่ไม่อยากให้ลูกหลานทำไร่ทำสวน เพราะเขาคิดว่ามันเป็นงานที่เหนื่อยและไม่มีอนาคต ก็เลยต้องส่งลูกหลานให้มาเรียนหนังสือในตัวเมืองเชียงรายกันหมด เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองตั้งแต่เด็กจนเรียนจบ หลังจากที่เรียนจบมาก็ได้ทำงานหลายๆอย่าง ทั้งทำงานธนาคาร ทำงานเกี่ยวกับเด็กและการค้ามนุษย์ แต่ก็ค้นหาตัวเองอยู่เรื่อยๆว่าจริงๆแล้วเราอยากจะทำอะไร
การมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองทำให้เราเห็นปัญหาหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ฝุ่นควันPM2.5 และภาวะโลกร้อนที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เลยคิดว่าพอจะมีอะไรที่เราสามารถทำเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมได้บ้าง อย่างน้อยก็เป็นฟันเฟืองเล็กๆที่สามารถช่วยให้ชุมชนที่เราอยู่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นได้
เรากลับมานั่งคิดว่าเราก็มีที่ดินบนดอย ทำไมเราไม่พัฒนาที่ดินตรงนั้นให้มันเกิดประโยชน์ล่ะ แทนที่เราไปแสวงหาบางสิ่งบางอย่างที่มันไกลตัวเรา สู้เราไปเริ่มต้นจากสิ่งที่เรามีดีกว่า ก็เลยตัดสินใจว่าจะทำอะไรซักอย่างกับที่ดินตรงนั้น ตอนแรกก็หาพืชมาปลูก ต้องเป็นพืชที่มีความแตกต่างและต้องสร้างความยั่งยืนได้ ไม่ใช่จำพวกแบบพืชล้มลุก สุดท้ายก็ได้มาเจอ “กาแฟ” เลยเริ่มศึกษาเรื่องกาแฟ ซึ่งเดิมทีแม่ได้ปลูกกาแฟอยู่แล้วแต่ไม่ได้ปลูกเยอะ เพราะมีปัญหาเรื่องของการเติบโต ปลูกได้ประมาณ 2-3 ปี แทนที่จะให้ผลผลิตแต่มันกลับล้มตาย เราเลยมาดูว่าปัญหานี้มันเกิดจากอะไร
ช่วงแรกๆก็ไม่ได้สนใจเพราะตอนนั้นเราทำงานและเรารู้สึกว่าไม่อยากทำเกษตร แต่พอถึงจุดที่เราอยากจะทำ เราก็กลับมาศึกษามันอย่างจริงจัง และกลับไปช่วยดูแลสภาพแวดล้อมเพื่อที่จะให้กาแฟเติบโตได้ดี เพราะกาแฟเป็นพืชป่า มันชอบสิ่งแวดล้อมที่เป็นสภาพป่า เราก็ต้องการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเหมือนกัน ถ้าเราสามารถรักษาสิ่งแวดล้อมได้ มันก็น่าจะช่วยสวนของเราให้ดีขึ้น พอตัดสินใจได้ว่าจะปลูกกาแฟ เราก็เริ่มตั้งแต่หาสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตที่ดี ตอนนั้นได้สายพันธุ์เชียงใหม่80 หลังจากนั้นก็ศึกษาลงลึกเข้าไปอีก จากเดิมที่เราไม่เคยชิมกาแฟ พอได้กินกาแฟก็รู้สึกว่าชอบและหลงไหลมัน ก็เริ่มศึกษาลึกเข้าไปเกี่ยวกับกาแฟพิเศษ(Specialty Coffee) เราก็หาสายพันธุ์กาแฟพิเศษที่หลายๆที่ไม่มีมาปลูก จนกระทั่งไปเจอสายพันธุ์ JAVA จากจังหวัดน่านของคุณ Caleb ของ Gem Forest เราก็เลยขอเมล็ดมาปลูก
2 ปีแรกเราใช้เวลาช่วงวันหยุดจากการทำงานประจำมาดูแลสวนกาแฟของเรา สิ่งแรกที่เราทำคือพัฒนาเรื่องของสวนก่อน แล้วเราก็เริ่มปลูกต้นไม้เพราะต้องมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มมาช่วยบังให้ต้นกาแฟไม่ตาย หลายๆคนคิดว่าเราบ้าหรือเปล่า เราปลูกต้นไม้อะไรเต็มสวนเลย แทนที่จะปลูกอย่างอื่นที่มันทำเงินได้ แต่เราก็ทำของเราไปเพราะเราเชื่อว่ามันจะเกิดผลดีแน่นอน ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพิสูจน์
เรามักใช้เวลาว่างจากการทำงานศึกษาเรื่องของกาแฟ มีงานอบรมที่ไหนก็ไป ทั้งเรื่องเกษตรอินทรีย์ เรื่องของการปลูก การดูแลรักษา เพราะเราไม่มีประสบการณ์มาก่อน เราค้นคว้าข้อมูลเอง ทั้งศึกษางานวิจัย หาอ่านบทความตามเว็ปไซต์ ทั้งดูคลิปใน youtube เราก็เรียนรู้เองจากตรงนี้ทั้งหมด จนกระทั่งเราทำงานได้ถึงจุดหนึ่งแล้ว เราอยากจะใช้เวลาให้เต็มที่กับสวน เพราะถ้าหากเรายังทำก้ำๆกึ่งๆคงจะพัฒนาได้ยาก ให้แม่ดูแลเองลำพังก็คงไม่ไหว เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำสวนแบบจริงจัง
หลังจากลาออกมาก็ได้ใช้เวลากับสวนหนึ่งปีเต็มๆ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทำให้มีพืชอื่นๆตามมาก็คือ Avocado เนื่องจากเราชอบกินเพราะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นพืชตัวใหม่ และเป็นพืชเศรษฐกิจด้วย ก็เลยลองศึกษาข้อมูลดู โชคดีที่พื้นที่ของเรามีความได้เปรียบ เนื่องจากมีความสูงจากระดับน้ำทะเลสูง เลยสามารถปลูก Avocado สายพันธุ์ Hass ที่เป็นสายพันธุ์การค้าอันดับหนึ่งของโลกได้ อีกอย่างที่เราต้องการสร้างเพื่อที่จะให้สวนมีความยั่งยืนคือ “ระบบนิเวศน์” ซึ่งมันคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 ปี เพราะถ้าระบบนิเวศน์เกิดขึ้นได้ มันก็จะพึ่งพาอาศัยกันและทำให้พืชที่เราปลูกเจริญเติบโตได้ดีแน่นอน
เราอยากให้ชุมชนมีความยั่งยืนและเติบโตไปพร้อมกับเรา
การเติบโตที่ดีคือคนในชุมชนต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถสร้างรายได้จากสิ่งที่เรามี และทุกๆคนสามารถนำวิธีการดูแลสวนของเราไปปรับใช้ได้ ถ้าคนในชุมชนมีรายได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปหางานทำที่อื่น จะได้ช่วยพัฒนาชุมชนไม่ให้ถูกปล่อยทิ้งไว้แล้วเหลือแค่คนเฒ่าคนแก่ ทั้งหมดที่เราทำก็เพื่อทำให้ชุมชนมีความยั่งยืนเกิดขึ้น มีความสุข และสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม รักษาไว้ให้มันคงอยู่ตลอดไป สิ่งเหล่านี้ช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศ ไฟป่าหรือต้นน้ำเพราะลำธารที่เริ่มแห้ง ปัญหาทั้งหมดมันเชื่อมโยงถึงกัน และสิ่งสุดท้ายที่เราอยากจะเป็นคือ “Eco Tourism Farm” เราอยากเป็นฟาร์มเกษตรเชิงท่องเที่ยว เปิดให้คนมาท่องเที่ยวและนำรายได้เข้ามาให้กับชุมชน
สำหรับใครที่หลงใหลกาแฟและเป็นสายธรรมชาติ สามารถติดตามเรื่องราวเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ที่เพจ Magpie Farm