July 19, 2022

Soft Power กับการตลาดยุคใหม่

By : Teeradetch Niruttiwat

เดิมที Soft Power เป็นไอเดียที่มีไว้เพื่อใช้สำหรับการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งไอเดีย Soft Power เริ่มต้นมาจาก Joseph Nye เขาได้นิยามความหมายไว้สั้นๆว่า “เป็นความสามารถในการทำให้คนหนึ่งเปลี่ยนความชอบอีกคนหนึ่งได้ ผ่านทางความสนใจ ,การดึงดูด และการโน้มน้าวใจ”

  • Hard Power เป็นการบุกเข้าหาตรงๆไม่อ้อมค้อม โดยไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไง
  • Soft Power เป็นการค่อยๆทำความรู้จักกัน แล้วค่อยสร้างอิทธิพลทีละนิดๆ

 

ในการตลาดก็มี Hard กับ Soft เหมือนกัน

Soft marketing เปรียบเสมือนกับ “การปรบมืออย่างช้าๆให้พร้อมเพรียงกันตามจังหวะ” ซึ่งเราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำ แต่ทุกคนก็จะค่อยๆปรบมือตามจังหวะจนพร้อมกัน เหตุผลง่ายๆเพราะเราไว้ใจคนที่ปรบมืออยู่ข้างๆเรา  และเราเห็นว่าเรากำลังทำสิ่งหนึ่งด้วยกัน จนสุดท้ายก็ไปถึงเป้าหมายด้วยกัน แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาที่นานหน่อยกว่าจะทำสำเร็จ

Hard marketing เปรียบเสมือนกับ “การปรบมือให้ดังที่สุด” เมื่อเราจะขายของหรือทำให้คนรู้จักธุรกิจของเรา “เราต้องทำให้คนได้ยิน” เราอาจจะยิงโฆษณาหรือหาวิธีหลายๆอย่างเพื่อให้คนได้ยินแบรนด์ของเรา ดังนั้นเราต้องทำให้เสียงดังที่สุด ต้องยอมจ่ายเพื่อที่จะทำให้คนได้ยิน และที่สำคัญเราต้องแข่งขันกับคนอื่น ต้องโดดเด่นกว่าแบรนด์อื่น ถ้าเราทำไม่ได้ก็ถือว่าแพ้

 

แล้ว Soft Marketing มีวิธีไหนบ้าง?

การบอกปากต่อปาก, การออกไปช่วยสังคม หรือใช้วิธีการเล่าเรื่อง ยกตัวอย่าง โฆษณาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โซจู เราไม่เคยเห็นโซจูเพราะเขาไม่ได้ยิงโฆษณาในบ้านเรา แต่ทำไมเราถึงรู้จัก? นั่นเป็นเพราะเราเคยเห็นผ่านซีรีส์เกาหลีแทบจะทุกเรื่อง

อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือชุดไทยย้อนยุค ที่คนไทยเอาไปประยุกต์แล้วใส่ไปถ่ายรูปจนเกิดเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง สถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งก็มีการเปิดให้เช่าชุดไทย เนื่องจากละครบุพเพสันนิวาส ซีรีส์หรือละครพวกนี้สามารถที่จะปรับความชอบของเราได้ โดยการที่จะใช้ “สิ่งจูงใจ” ดึงดูดความสนใจของเรา แล้วค่อยๆให้เราสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่แค่หนัง รวมไปถึงเพลงต่างๆ เวลาที่เรามีความรู้สึกเศร้า อกหัก เราก็จะไปหาเพลงมาฟัง ซึ่งเพลงก็จะมีพลังที่ช่วยดึงอารมณ์และความรู้สึกของเรา ดังนั้นแม้ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ทุกอย่างที่เราทำ สามารถที่จะสร้างวัฒนธรรม และ Soft Power ได้

 

ข้อเสียของ Soft Power

เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่า Soft Power เป็น “พลังที่อยู่กับคน” ซึ่งบางครั้งเราก็คิดว่า Soft Power สามารถที่จะสร้างธุรกิจ ,คน หรือ Brand ให้ดังได้ แต่ Soft Power ก็สามารถที่จะฆ่าสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน ถ้าเราใช้ผิดวิธีอาจทำให้เกิดการ Cancel ,Call Out ,Ban และ Boycott แม้ว่าเราอยากจะใช้ Soft Power เพื่อดึงดูดคน แต่เราต้องตระหนักว่า Soft Power เองก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนกัน

การตลาดยุคใหม่ต้องรู้จักพิชิตใจของลูกค้าของเรา

“ หัวใจของการตลาดคือลูกค้า ” ดังนั้นเราต้องรู้จักวิธีพิชิตใจลูกค้าของเรา หากลองเปรียบเทียบกับการแต่งงาน ถ้าเรากำลังจะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่แต่งงานด้วย คงจะไม่ใช้วิธีเขียนป้ายติดว่า “ใครก็ได้แต่งงานกับผมหน่อย” เพื่อหาคนที่จะแต่งงานด้วย การทำแบบนี้เรียกว่า Hard Power มากกว่าที่จะเป็น Soft Power ซึ่งปกติคนทั่วไปก่อนจะแต่งงานกัน ต้องไปเดทหรือค่อยๆใช้เวลาด้วยกันก่อน เพราะจะทำให้เราได้รู้จักตัวตน และสนิทกันมากขึ้น

 

เปลี่ยนความคิด marketing ของเรา

Relational Marketing เป็นการตลาดในรูปแบบที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เราเน้นความสัมพันธ์เหมือนว่าลูกค้าเป็นแฟนของเรา เป็นคนที่เราอยากแต่งงานกับเขา ดังนั้นเราต้องใส่ใจลูกค้า    ไม่ใช่แค่จะขายของเพียงอย่างเดียว หรือคิดเพียงแค่ว่าของเราดีแต่ไม่รู้ถึงปัญหาของเขา

สิ่งที่สำคัญของ Relational Marketing คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะคิดต่าง

การทำธุรกิจ เราต้องช่วยเหลือกัน

หลายครั้งเราอาจจะคิดว่าการทำธุรกิจ “เราต้องได้ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว” เพราะว่าเราต้องสร้างแบรนด์ให้ชนะคู่แข่งและต้องมีกำไรที่มากที่สุด แต่ความจริงแล้วการที่จะทำ Relational Marketing เราต้องเน้นที่ลูกค้าของเรามีปัญหาอะไรบ้าง แล้วเราสามารถที่จะช่วยแก้ปัญหา หรือพัฒนาชีวิตเขาได้ยังไง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ Win-Win ทั้งคู่เหมือนกัน

ดั้งนั้นจุดสำคัญแรกของ Relational Marketing คือ เราจะต้องดึงความสนใจให้กับ Brand ของเรา อย่าหยุดคิดสร้างสรรค์ เราต้องคิดตลอดว่า เราจะทำยังไงให้ Brand ของเรามีสิ่งที่จะดึงดูดความสนใจลูกค้าได้ ซึ่งสิ่งสำคัญในการทำ Relational Marketing มี 2 อย่าง คือ

1. การดึงดูด (Attraction)

“ถ้าอยากทำให้เขามีความสนใจ เราก็ต้องหาวิธีดึงดูดให้เขาอยู่กับเรา” ซึ่งการดึงดูดนี้เราต้องมีประโยชน์ต่อกันและกัน เราต้องรู้จักเขา เขาต้องรู้จักเรา สิ่งนี้อาจจะต้องใช้เวลา เลยถือว่าเป็นข้อเสียเช่นกัน มีหลายคนที่ขายของโดยไม่ใช้เวลาทำความรู้จักกับลูกค้า เน้นที่การขายอย่างเดียว แต่จริงๆแล้วเราควรที่จะใส่ใจลูกค้า เพราะการใส่ใจจะทำให้เข้าใจปัญหา และความต้องการของลูกค้าได้ หลังจากนั้นเราจะได้ Feedback เพื่อนำมาปรับปรุง Brand, Product และ Service ของเราให้ช่วยลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และสิ่งนี้แหละ ที่จะดึงดูดลูกค้าให้รู้ว่า Brand ของเรามีอะไรมากกว่า Brand อื่น ที่เขากำลังลังเล เปรียบเหมือนกับการที่สองฝ่ายได้ไปเดทเพื่อทำความรู้จักกัน ถ้าจะทำให้เขาอยากคบกันต่อ ต้องทำให้เขาเห็นว่าเรามีอะไรที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์สิ่งที่เขาต้องการได้

2. การโน้มน้าวใจ (Persuasion)

การโน้มน้าวใจสามารถทำได้หลายวิธี เราต้องคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหา หรือตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ยังไง? ซึ่งเราสามารถที่จะใช้ 4 วิธีนี้ เพื่อเล่าถึง Brand ของเรา

          1. ความน่าเชื่อถือ (Credibility) ไม่ว่าจะด้วยอายุหรือตำแหน่ง ก็สามารถทำให้ดูน่าเชื่อถือได้

          2.อารมณ์ (Emotions) เราต้องสร้างบรรยากาศที่จะซื้อสินค้า เช่น เปิดเพลงเพื่อให้เขามีอารมณ์ร่วม

          3.ข้อมูล (Information) เมื่อเราให้ข้อมูลแก่ลูกค้า เราควรมีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้

          4.เวลา (Time) ต้องดูเวลาที่เหมาะสม และใช้เวลาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นด้วย 

ยิ่งเรารู้จักลูกค้ามากขึ้น เราก็จะรู้สิ่งที่ลูกค้าต้องการ แล้วสามารถเจาะลึกถึงใจลูกค้าเพื่อแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้ลูกค้าได้ เมื่อลูกค้ารู้ว่าเรารู้จักเขา รู้ปัญหาและความต้องการของเขา ลูกค้าก็จะยิ่งชอบการพูดคุยกับเรา ทำให้เขาอยากถามข้อมูลจากเรามากยิ่งขึ้น ว่าสินค้าของเราสามารถช่วยตอบสนองความต้องการของเขาได้ไหม เมื่อเขารู้สึกว่าได้รับการช่วยเหลือจากเรา เขาก็จะประทับใจ ทำให้เกิดการบอกต่อ Brand ของเราแก่คนอื่นๆต่อไป

SHARE ARTICLE:
Share on email
Share on linkedin
Share on facebook
Share on twitter

Read related:

Apr 5, 2023
“ผมอยากแบ่งปันความสุขในการกินกาแฟให้กับคนอื่น” คุณเจมส์ James Art Coffee บอกกับเรา ก่อนจะเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเปิดร้านกาแฟ ย้อนกลับไปประมาณ 8 ปีที่แล้ว...
Mar 22, 2023
TonCedar Internship program เน้นการฝึกงานและเรียนรู้แบบองค์รวม ด้วยการทำงานในสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมที่หลากหลาย ได้ฝึกภาษากับชาวต่างชาติ และทำงานร่วมกับเจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการธุรกิจ และองค์กรต่างๆ ในการช่วยเหลือคนรุ่นใหม่...
Mar 8, 2023
วันนี้ TonCedar จะพาทุกคนมารู้จักกับ Magpie Farm เกษตรกรรมบนดอยที่เริ่มต้นมาจาก คุณซาน – สุนทร มิ่งสิริเจริญ...